‘Forest Bathing’ ให้ธรรมชาติเยียวยากายใจด้วยการอาบป่า

เทรนด์ดูแลสุขภาพ หรือ Wellness นั้น  ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็วนกลับมาเรื่องของธรรมชาติเสมอ เพราะสำหรับผู้สูงอายุแล้วนั้น ธรรมชาติ ดูจะเป็นสิ่งที่ช่วยชุบชูจิตใจ โอบกอดร่างกายให้แข็งแรงและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตได้อย่างยั่งยืน ด้วยไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เร่งรีบในปัจจุบัน อาจทำให้หลายคนหลงลืมในการดูแลตัวเองไปบ้าง จนอาจตกอยู่ในภาวะเปราะบางโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงแล้ว ภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุไม่ใช่โรค แต่นับเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญและพบบ่อยในผู้สูงอายุ ส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

แล้วจะทำอย่างไรให้ตัวเราเป็นผู้สูงอายุที่ยังแอคทีฟอยู่เสมอ? คำตอบแรกคือการดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารเสริมหรือพึ่งพาคนอื่นแต่อย่างใด เพียงปล่อยจอยปล่อยใจให้ ‘ธรรมชาติ’ บำบัดและเยียวยาทุกสิ่ง ลองหาที่เที่ยวแบบสโลวไลฟ์ ใช้ชีวิตช้า ๆ เที่ยวผ่อนคลายไปกับธรรมชาติ หากมีข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง ก็ปล่อยให้สายลมและแสงแดดที่อยู่รายล้อมรอบตัวเรา ได้ทำหน้าที่ให้คุณได้เพลิดเพลินกับสายลมเย็น ๆ แสงแดดอุ่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหรือเดินทางเพื่อตามหาอากาศธรรมชาติจากที่ไกล ๆ อีกต่อไป

โดยงานวิจัยแนะนำว่าเราควรใช้ชีวิตอยู่กับสายลมแสงแดดตามธรรมชาติบ้างเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีสุขภาพดี นอนหลับง่าย คลายความเครียด มีความสมดุลทางอารมณ์และจิตใจ โดยเฉพาะแสงแดดในช่วงเช้าหรือช่วงที่มีแดดอ่อน ๆ จะส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย หากไม่ได้ออกไปเจอแสงแดดเลยหรือเก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้าน อาจส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าได้

และก่อนที่ใครหลายคนจะมีสภาพไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่อยู่ไปวัน ๆ ทางเราอยากให้ทุกคนลองหยุดการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แล้วพาตัวเองออกไปสัมผัสกับธรรมชาติ เพื่อทอดกายสู่อ้อมกอดอันเงียบสงบของป่าไม้ใบเขียว  ด้วยการหาเวลาพาร่างกายไป ‘อาบป่า’ (Forest Bathing) ใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้าท่ามกลางธรรมชาติ ฟังเสียงป่า สัมผัสเปลือกไม้ ดมกลิ่นหญ้า และเอาเท้าจุ่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นพลังขึ้นมาใหม่ไปด้วยกัน

จุดเริ่มต้นของการอาบป่า

จุดเริ่มต้นของการ ‘อาบป่า’ (Forest Bathing) มาจากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง เป็นการบำบัดแบบหนึ่งที่ไม่ใช่การเข้าป่า เพื่อไปออกกำลังกาย หรือ ไปเดินป่า ไปปีนเขา ‘การอาบป่า’ ในที่นี้มีความหมายมาจากคำว่า ชินรินโยคุ (Shinrin-yoku) แยกออกเป็นคำว่า ชินริน (Shinrin) แปลว่า ป่า และ โยคุ (Yoku) แปลว่า อาบ จึงแปลรวมกันว่า ‘การอาบป่า’

‘การอาบป่า’ เป็นวิธีการที่จะช่วยเชื่อมตัวเราเข้ากับธรรมชาติผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่านรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยใช้ธรรมชาติบำบัดในการชำระล้างความเครียด ความวิตกกังวล ความอ่อนล้าที่แบกไว้ในความคิดและจิตใจ ซึ่งถือเป็นวิธีการบำบัดตัวเองในแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำเองคนเดียวได้ในระยะเวลาอันสั้น หรือจะชักชวนกันทำเป็นกลุ่มแบบในครอบครัว หรือชวนเพื่อน ๆ มาจอยก็ได้เช่นกัน

‘การอาบป่า’ เป็นการเดินช้า ๆ ในป่า เพื่อให้เราได้ซึมซับบรรยากาศผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมดของเรา เป็นศาสตร์ที่ช่วยบำบัดโรคการขาดธรรมชาติที่สามารถทำได้ไม่ยากเลย วิธีการช่างเรียบง่าย และนี่คือขั้นตอนที่เราต้องทำในการอาบป่า


หาสถานที่ 

การหาแหล่งธรรมชาติที่ดีสักที่ ขึ้นอยู่กับว่าเราอาศัยอยู่ที่ไหน โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางลึกเข้าไปในป่าเพื่อเลือกเฟ้นสถานที่ที่สวยที่สุด แค่มองหาพื้นที่สีเขียว ซึ่งอาจเป็นสวนสาธารณะแถวบ้านก็ใช้ได้แล้ว

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้ร่างกายของเราเป็นคนกำหนดเอง ว่าสถานที่ที่เราควรจะไปคือที่ไหน บางคนจะตอบสนองต่อที่โล่งแจ้ง บางคนจะตอบสนองต่อที่โล่งโปร่ง ฟังความต้องการที่ร่างกายของเราพยายามที่จะสื่อสารออกมา สำหรับคนที่ไม่สะดวกจะเดินทางเข้าป่า หรือไม่สามารถออกจากบ้านได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ยังสามารถอาบป่าง่าย ๆ ที่บ้านได้ ด้วยการผสมน้ำมันหอมระเหยจากต้นไม้ในบ้านของเรา ก็ได้ผลดีไม่แพ้กัน

 

ดึงดูดทุกความรู้จักของเรา

ปล่อยให้ร่างกายได้ซึมซับธรรมชาติเข้ามาในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นหู ตา จมูก ปาก มือ และเท้าของเรา ตั้งใจฟัง ดมกลิ่น สัมผัส และมองสิ่งรอบตัวอย่างกระตือรือร้น ปล่อยให้ตัวเองได้ดื่มด่ำกับกลิ่นอายของป่า แล้วเข้าสู่ความสุขและความสงบ

อย่ารีบร้อน

สำหรับการอาบป่า เราไม่จำเป็นต้องรีบเพื่อทำให้มันจบลง ให้เดินช้า ๆ ซึมซับป่าเข้าไปเรื่อย ๆ ยิ่งใช้เวลามากเท่าไร ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเราเอง เราจะสังเกตเห็นผลลัพธ์ในเชิงบวกได้เองหลังจากการอาบป่าผ่านไปได้ราว ๆ 20 นาที แต่การอาบป่าที่ดี ควรมีระยะเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

ลองทำกิจกรรมต่างๆ

ในระหว่างการอาบป่า ควรลองทำกิจกรรมต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย อาจจะลองเล่นโยคะในป่า รำไทเก็ก ทำสมาธิ ปิกนิก เขียนหนังสือ หรือ ศึกษาต้นไม้ชนิดต่าง ๆ โดยเราสามารถจะผจญภัยในรูปแบบคนเดียวหรือจะทำร่วมกับเพื่อนก็ได้

ดื่มด่ำความเงียบสงบ

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตในเมือง หนึ่งในข้อเสียที่ทุกคนต้องเจอก็คือเสียงรบกวนที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากใครโชคดีมีพื้นที่บ้านกว้างขวาง ก็สามารถดื่มด่ำกับความเงียบที่จะช่วยฟื้นฟูพลังชีวิต ลองใช้เวลาฟังใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบ หยดน้ำ เสียงนกร้อง หรือใช้เวลาเงียบ ๆ กับต้นไม้ต้นโปรด เมื่อเราเชื่อมต่อกับธรรมชาติ เราจะถูกเตือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น และนั่นจะทำให้เรามีความเห็นแก่ตัวน้อยลงและคิดถึงคนอื่นมากขึ้น

 

ประโยชน์ที่ทุกคนจะได้จากการอาบป่า

จากการวิจัยพบว่า ผลลัพธ์ที่ดีที่ได้หลังจากการอาบป่า มาจากสารเคมีของอากาศในป่า ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณออกซิเจนที่สูงขึ้นในอากาศ และที่สำคัญที่สุดคือต้นไม้สามารถขับสารเคมีที่ช่วยให้เราสามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ ซึ่งสารเคมีเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของวัยผู้สูงอายุอย่างเรา ๆ ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้นการอาบป่ายังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเราอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น ลดความดันโลหิต ลดความเครียด สุขภาพหัวใจ หลอดเลือดและการเผาผลาญดีขึ้น ช่วยลดน้ำหนัก ลดระดับน้ำตาลในเลือด ความจำดีขึ้น ลดภาวะซึมเศร้า เพิ่มการผลิตโปรตีนต้านมะเร็ง ฟื้นฟูพลังงาน และเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการเพิ่มจำนวนเซลล์ตามธรรมชาติของร่างกาย เป็นต้น

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในเมืองที่แออัดหรือวุ่นวายขนาดไหน ลองมองหาต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อพักสายตาแล้วเริ่มลงมืออาบป่ากันได้เลย เพราะถึงแม้เวลา สภาพแวดล้อม หรือการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไปแต่พื้นฐานปัจจัยของการเกิดสุขภาวะที่ดีก็ยังคงต้องอาศัยพลังจากธรรมชาติเช่นเดิม ดังนั้นแล้วการอาบป่าจึงไม่จำกัดว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน แต่สามารถเกิดได้ทุกที่บนโลกนี้

 

ผู้เขียน ชนิตร์ปรียา กุลหทัย

แชร์ :